Hooponopono : บำบัดธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

The World's Most Unusual Therapist
โจ วิเทล เขียน
แม่ส้ม (สมพร อมรรัตนเสรีกุล) แปล
25 กย 49 : อ่านไป แปลไป สบายใจ
แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษที่หมอบุ๋ยส่งมา ขอบคุณหมอบุ๋ยที่แบ่งปันเรื่องดี ๆ มาให้อ่านอยู่เสมอ
...............
เมื่อสองปีก่อน ผมได้ยินเรื่องของจิตแพทย์ในฮาวายคนหนึ่ง ซึ่งทำการรักษาให้กับคนไข้อาชญากรโรคจิต โดยที่เขาไม่เคยพบหน้าค่าตากับคนไข้เหล่านั้นเลย เขาใช้วิธีตรวจสอบแฟ้มประวัติของคนไข้ที่ส่งมาจากเรือนจำ จากนั้นก็เพ่งเข้าไปด้านในของตัวเอง เพื่อค้นหาว่าตัวเขาเองนั้นได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการป่วยของคนไข้อย่างไรบ้าง เมื่อเขาค้นพบสิ่งที่ต้องแก้ไขและเยียวยาภายในตัวเองได้ คนไข้คนนั้นก็จะได้รับการบำบัดเยียวยาไปด้วย
ครั้งแรกที่ผมได้ยินเรื่องนี้ ผมคิดว่ามันคงเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าของท้องถิ่น มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ใครจะรักษาคนอื่นด้วยการรักษาตัวเอง ยิ่งกว่านั้นมันคงเป็นไปไม่ได้แน่ ในการที่หมอจะบำบัดตัวเองแล้วผู้ป่วยอาชญากรจะได้รับการบำบัดไปด้วยตอนนั้นผมไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไรนัก เพราะมันเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลและฟังไม่ขึ้นจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม ผมได้ยินเรื่องนี้อีกครั้งในปีถัดมา ผมได้ยินว่ากระบวนการบำบัดแบบฮาวายนี้เรียกว่า “ฮูปโปโนโปโน” ซึ่งผมก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่คราวนี้ผมไม่สามารถที่จะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านหูไปเฉย ๆ ก็ถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นความจริง ผมก็อยากจะรู้รายละเอียดมากกว่านี้
ผมเข้าใจมาตลอดเวลาว่า “ความรับผิดชอบอย่างแท้จริง” ก็คือการที่ผมจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ผมคิดและกระทำเท่านั้น นอกเหนือจากนี้แล้วมันก็ย่อมจะอยู่เหนือความรับผิดชอบของผมทั้งสิ้น ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็คงคิดถึงเรื่องความรับผิดชอบในแบบเดียวกับผมนี่แหละ เรารับผิดชอบเฉพาะในสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นทำ แต่จิตแพทย์ฮาวายคนนี้ได้สอนให้ผมเกิดมุมมองและทัศนคติใหม่เกี่ยวกับ ”ความรับผิดชอบที่แท้จริง”
จิตแพทย์คนนี้ชื่อ ดร. Ihaleakala Hew Len ผมได้คุยกับหมอเลนครั้งแรกทางโทรศัพท์ เราคุยกันร่วมชั่วโมง ผมขอให้เขาเล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับการบำบัดของเขาอย่างละเอียดหมอเลนเล่าว่าเขาทำงานอยู่ที่ รพ.รัฐฮาวายมา 4 ปีแล้ว แผนกที่รักษาผู้ป่วยอาชญากรโรคจิตนั้นมีอันตรายมาก จิตแพทย์ส่วนใหญ่ทำงานไม่ถึงเดือนก็ลาออก พนักงานก็มักจะป่วยและลาออกเช่นกัน เวลาใครเดินผ่านตึกผู้ป่วยตึกนี้ ต้องเดินเอาหลังหันเข้ากำแพง เพราะกลัวว่าจะถูกคนไข้ทำลายเอา มันไม่ใช่สถานที่ที่ใครอยากจะเข้าไปอยู่ ไปทำงานหรือแม้แต่ไปเยี่ยมเยียนเอาเสียเลย
หมอเลนบอกผมว่าเขาไม่เคยพบหน้าคนไข้เลย เขาใช้สำนักงานในการตรวจสอบแฟ้มคนไข้ที่ส่งมาจากเรือนจำ ขณะที่เขาพิจารณาแฟ้มเหล่านั้น เขาจะทำงานกับตัวเอง และเมื่อเขาทำงานกับด้านในของตัวเอง คนไข้ก็จะเริ่มได้รับการบำบัดไปด้วยแล้ว
เขาเล่าต่อว่า “เมื่อผ่านไปสองสามเดือน คนไข้ที่เคยถูกใส่โซ่ตรวน ก็เริ่มได้รับการอนุญาตให้เดินไปไหนมาไหนได้อิสระ และคนไข้รายที่ต้องให้ยาอย่างหนักก็ได้รับการลดยาลง ส่วนในรายที่ไม่เคยมีโอกาสได้ถูกปลดปล่อยเลยก็ได้อิสรภาพมากขึ้น”
ผมฟังอย่างตื่นเต้น
"ไม่เพียงเท่านั้นนะ” หมอเลนเล่าต่อ “พวกพนักงานยังกลับทำงานอย่างมีความสุขขึ้น ไม่มีใครหนีงานและลาออกอีก ในที่สุดเรามีพนักงานมากกว่าความต้องการเสียอีก เพราะว่าคนไข้ได้รับการปลดปล่อยมากขึ้น วันนี้แผนกของเราปิด เพราะพนักงานทั้งหมดออกไปสาธิตวิธีทำงาน”
ผมยิงคำถามสำคัญ “คุณทำอะไรกับด้านในของตัวเอง ที่เป็นเหตุให้ผู้ป่วยได้รับการบำบัดและเกิดความเปลี่ยนแปลง ?”
“ผมก็เพียงแค่เยียวยาในส่วนที่ผมเกี่ยวข้องกับการป่วยของคนเหล่านั้น” หมอเลนตอบ
“ผมยังไม่เข้าใจ”
หมอเลนขยายความว่า “ความรับผิดชอบที่แท้จริงของชีวิต” นั้นครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของคุณ พูดง่าย ๆ ว่า ก็เพราะทุกๆการรับรู้ของคุณมันสัมพันธ์กับชีวิตของคุณอย่างแยกไม่ออก ดังนั้นมันจึงย่อมเป็นความรับผิดชอบของคุณโดยตรง พูดอีกนัยหนึ่งคือ โลกภายนอกทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่คุณสร้างขึ้นจากโลกด้านในของตัวคุณเอง
วู้ ! นี่เป็นอะไรที่เข้าใจยากจริงๆ การรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวผมพูดหรือทำนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง การต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทุกคนในชีวิตของผมพูดหรือทำนั้นก็น่าจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้ เมื่อคุณพูดถึงความรับผิดชอบที่แท้จริงต่อชีวิตของคุณ เมื่อนั้นทุกสิ่งที่คุณเห็น ได้ยิน ลิ้มรส สัมผัส และประสบการณ์ทั้งหมดที่คุณได้รับ ล้วนเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของคุณ เพราะว่าทั้งหมดนั้นมันคือชีวิตของคุณ
ซึ่งย่อมหมายความว่าการกระทำของผู้ก่อการร้าย ของประธานาธิบดี หรือภาวะเศรษฐกิจ ทุกสิ่งที่คุณรับรู้และไม่ชอบมัน ล้วนเกิดขึ้นจากความป่วยของคุณด้วย ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้ดำรงอยู่ พูดง่าย ๆ คือ มันไม่ได้เป็นหรือมีอะไรเลย นอกจากภาพที่ฉายจากภายในของตัวคุณเองเท่านั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พวกเขาข้างนอก แต่มันอยู่ที่ตัวคุณต่างหาก ดังนั้นถ้าจะเปลี่ยนพวกเขา ก็ต้องเปลี่ยนจากด้านในของตัวคุณเองก่อน
ผมรู้ดีว่านี่เป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ แต่ขอเพียงแค่เปิดใจยอมรับและอยู่กับมัน การตำหนิกล่าวโทษและโยนความผิดนั้นทำง่ายกว่าความรับผิดชอบมากมายนัก การได้พูดคุยกับหมอเลน ทำให้ผมเริ่มตระหนักได้ว่า การบำบัดแบบ "ฮูปโปโนโปโน"นั้นที่แท้ก็หมายถึงการรักตัวเองนั่นเอง ถ้าคุณต้องการปรับปรุงหรือแก้ไขชีวิตของตัวเอง คุณก็ต้องเยียวยาตัวเอง และถ้าคุณต้องการรักษาใครก็ตาม แม้แต่ผู้ป่วยอาชญากรโรคจิต คุณก็ต้องรักษาเขาด้วยการเยียวยาตัวคุณเองก่อนเช่นกัน
ผมถามหมอเลนต่อว่า เขาเริ่มต้นเยียวยาตัวเองอย่างไร และเขาทำอะไรบ้างในขณะที่เขากำลังตรวจดูแฟ้มคนไข้เหล่านั้น
“ผมเพียงแค่พูดว่า “ผมขอโทษ” และ “ผมรักคุณ” ซ้ำหลาย ๆครั้ง” หมอเลนกล่าว
เท่านั้นเองหรือครับ ?
“ครับ เท่านั้นเอง”
การกลับมารักตัวเองคือวิธีที่ดีและได้ผลที่สุดในการเยียวยา เมื่อใดที่คุณเยียวยาและเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณก็ได้เปลี่ยนแปลงและเยียวยาโลกด้วย ผมจะเล่าตัวอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ที่เจอกับตัวเองเกี่ยวกับผลของกระบวนการบำบัดนี้ได้วันหนึ่ง ผมได้รับอีเมล์ที่ทำให้ผมอารมณ์เสียมาก นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงจะโต้ตอบกลับไปด้วยความโกรธ หรือไม่ก็พยายามถามหาเหตุผลกับคนที่ส่งเมล์หยาบคายนั้นมาให้ผม แต่ครั้งนี้ผมตัดสินใจทดลองวิธีการของหมอเลนดู ผมพูดกับตัวเองเงียบ ๆ ว่า “ผมขอโทษ” และ “ผมรักคุณ” ผมไม่ได้พูดกับใครเป็นเฉพาะเจาะจง ผมเพียงแค่ปลุกวิญญาณแห่งความรักขึ้นมาเยียวยาตัวเอง ซึ่งตัวผมเองนี่แหละที่มีส่วนในการก่อให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาด้วย
ไม่ถึงชั่วโมง ผมก็ได้รับอีเมล์อีกฉบับจากบุคคลคนเดิม เขาเขียนมาขอโทษสำหรับข้อความหยาบคายที่ส่งมาก่อนหน้านี้ คุณอย่าลืมว่าผมไม่ได้ปฏิบัติอะไรด้านนอกเพื่อให้เกิดการขอโทษนั้นเลยนะ ไม่ได้แม้แต่เขียนข้อความกลับไปหาเขา ผมเพียงแค่เพ่งมองเข้าไปด้านในและพูดกับตัวเองว่า “ผมรักคุณ” เท่านั้นผมก็ได้เยียวยาอะไรบางอย่างที่อยู่ภายในตัวเอง ที่เป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุต่อการกระทำของเขาด้วย
ผมถามหมอเลนว่า “หนังสือที่วางขายและผลตอบรับจากข้างนอกเป็นอย่างไรบ้างครับ ? ”
“มันไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก มันอยู่ในตัวคุณ” คำตอบของหมอเลนทำให้จิตใจของผมกระทบกับปัญญาอันลึกซึ้งของเขาอีกครั้งหนึ่ง ด้วยคำพูดสั้น ๆ ว่า “มันไม่ได้อยู่ข้างนอก”
คุณอาจจะต้องอ่านหนังสือของหมอเลนทั้งเล่มเพื่อให้เข้าใจเทคนิคบำบัดแบบฮูปโปโนโปโนทั้งหมดอย่างลึกซึ่ง แต่มันก็เพียงพอที่ผมจะพูดสั้น ๆ ว่า เมื่อไรที่คุณต้องการเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรก็ตามในชีวิตของคุณ มันมีเพียงตำแหน่งเดียวที่คุณต้องเฝ้ามอง นั่นคือ “ภายในตัวคุณเอง” และในขณะที่คุณเฝ้ามอง ให้มองด้วย"ความรัก"
............
คำพูดของดร.เลน :
“ถ้าคุณต้องการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็ตาม ให้กลับมาจัดการที่ตัวเอง”
“ฮูปโปโนโปโน นั้นเรียบง่ายมาก ภูมิปัญญาโบราณของชาวฮาวายบอกว่า ทุกปัญหาล้วนเริ่มต้นมาจากความคิด แต่ตัวความคิดเองไม่ใช่ปัญหา แล้วอะไรเล่าคือตัวปัญหา
“ปัญหา”ก็คือ ความคิดทั้งหมดของเราที่ดูดซับเอาความทรงจำที่เจ็บปวด ความจำเกี่ยวกับบุคคล สถานที่ และความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆลำพังการใช้สติปัญญาไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เพราะว่าความฉลาดทำงานได้แค่ระดับการจัดการ และการจัดการไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา คุณต้องปล่อยให้ความคิดในการพยายามจัดการนั้นผ่านเลยไป
สิ่งที่เกิดขึ้นขณะที่คุณทำฮูปโปโนโปโน คือการเปิดโอกาสให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ปลดปล่อยและชำระล้างความทรงจำและความคิดที่เจ็บปวด คุณไม่ได้ชำระล้างบุคคล สถานที่หรือเหตุการณ์ แต่คุณกำลังถอนพิษของพลังงานที่คุณมีส่วนร่วมก่อกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์เหล่านั้น ดังนั้นขั้นตอนแรกทีสุดของฮูปโปโนโปโน คือการชำระพลังงานเหล่านั้นให้บริสุทธิ์ก่อน
จากนั้นความมหัศจรรย์บางอย่างจะเกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่พลังงานลบเหล่านั้นจะได้ถูกชำระล้างเท่านั้น แต่มันยังได้รับการปลดปล่อยเพื่อไปสู่สิ่งใหม่อีกด้วย พระพุทธเจ้าเรียกสภาวะนี้ว่า“ความว่าง” ขั้นตอนสุดท้ายของฮูปโปโนโปโน คือการยินยอมให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาเติมเต็มความว่างนั้นด้วยแสงสว่าง
การปฏิบัติฮูปโปโนโปโนนั้น คุณไม่จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับปัญหาหรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด สิ่งที่คุณต้องทำมีเพียง“การเฝ้าสังเกต”ทุกปัญหาที่คุณประสบไม่ว่าจะทางกายภาพ ทางความคิด หรือทางอารมณ์ ในขณะที่คุณเฝ้าสังเกตอยู่นั้น ความรับผิดชอบที่แท้จริงของคุณคือการชำระล้างพลังงานเหล่านั้น ด้วยการพูดซ้ำ ๆ ว่า “ฉันขอโทษ โปรดยกโทษให้ฉันด้วย”
http://hooponopono.org/Articles/self_i-dentity.html
.....................................

ยินเสียงมนัสได้ด้วยลมหายใจ


จดหมายชุมชนฉบับนี้ ขออาศัยบรรยากาศปีใหม่จีน
คัดลอกคัมภีร์จีน พร้อมทั้ง(ฝึก)แปลและตีความมาให้เพื่อน ๆ อ่าน


บทนี้คัดมาจากเทศนาธรรมของจีน ชื่อแปลตามตัวอักษรว่า
เทีย(ฟัง,ได้ยิน) ซิง(ใจ) แจ(ศีล,ธรรม) แขะ(ผู้มาเยือน) มึ่ง(คำถาม)

..นี่เทียบเสียงแต้จิ๋ว..
เสียงจีนกลาง อ่านว่า ทิงซินไจเค่อเวิ่น

ลองแปลเป็นไทย : "ปุจฉาธรรมกับผู้มาเยือน เรื่องยินเสียงมนัส"

เป็นท่อนที่เปรียบเทียบการหายใจของคนเราว่าเหมือนกับชี่ของฟ้าและชี่ของดิน
ขณะที่เราหายใจเข้า เราดึงชี่เข้าด้านใน
ลมหายใจเข้าเปรียบเหมือนชี่สวรรค์หรือชี่ฟ้าที่เคลื่อนลงต่ำ
และเมื่อเราหายใจออก ลมหายใจออกเปรียบเหมือนชี่ของดินที่ลอยขึ้นบน

อุปมามนุษย์เราก็คือจักรวาลน้อย ผู้อยู่ระหว่างฟ้ากับดิน
ผู้ดำรงอยู่ด้วยลมหายใจเข้าและลมหายใจออก
ฟ้ากับดิน ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก
ย่อมปราศจากช่องว่างที่แยกขาด
มีแต่ความไหลเลื่อนต่อเนื่องดำเนินไป

ดังนั้น หากต้องการบูชาสวรรค์ จงใส่ใจพิจารณาลมหายใจเข้า
หากต้องการกราบไหว้ดิน จงใส่ใจพิจารณาลมหายใจออก

เมื่อลมหายใจเป็นหนึ่ง สวรรค์และดินย่อมเป็นหนึ่ง
เมื่อนั้น เราผู้อยู่ระหว่างฟ้าและดิน จึงย่อมกลายเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลทั้งหมด.....

คัมภีร์นี้กล่าวว่า ลมหายใจเป็นเครื่องมือที่ทำให้สามารถฟังเสียงของจิตได้ชัดเจน

............................

ขอให้เพื่อน ๆ ทุกคน หยู่อี่ หยู่อี่
ครูส้ม (สมพร แซ่อึ้ง)
๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
เชียงราย